วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557


ผ้าไหม


           ผ้าจก

         เป็นผ้าที่ใช้วิธีการเก็บและทอเช่นเดียวกับผ้าขิด แต่มีการทำลวดลายด้วยการเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วงๆไม่ติดต่อกันทำให้สามารสลับสีและลวดลายได้ต่างๆกัน ลักษณะผ้าจึงมีสีสันและลวดลายมากกว่าผ้าที่มีการทำขิดแหล่งผลิตผ้าจกที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สุโขทัย เชียงใหม่ ราชบุรี อุตรดิตถ์ ผ้าที่มีการทำขิดหรือจกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เช่น ผ้ากาบบัว ซึ่งเป็นผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี


ตัวอย่าง ผ้าลายจก





              ผ้าหยก

         เป็นผ้าไหมที่ทอยกลายในตัว โดยใช้เส้นพุ่งพิเศษเป็นดิ้นเงินดิ้นทอง ทอกันแพร่หลายในภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูนและภาคใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อของ “ไหมพุมเรียง”



ตัวอย่าง ลายผ้ายก






            ผ้ามัดหมี่

       มีกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การมัดหมี่แพร่หลายทั่วไปทั้งภาคกลางและภาคเหนือ ส่วนใหญ่ผ้ามัดหมี่จะมัดเฉพาะเส้นไหมพุ่งผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ผ้าหางกระรอก ผ้าโฮล ผ้าปูมผ้ามัดหมี่ แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ผ้า 2 ตะกอ และผ้า 3 ตะกอ มีลักษณะผ้าเนื้อแน่นและด้านหน้าเงางามกว่าด้านหลัง



ตัวอย่าง ผ้าลายมัดหมี่

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557



สูตรทอดไก่ และวิธีทำไก่ทอด รสเด็ด

pictures-meetips-008.jpg


สูตรที่ 1 ไก่ทอดรสอร่อย

ส่วนผสมไก่ทอด-ไก่สด 1 กก.
-แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำปลา 1/2 ถ้วยตวง
-น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
-รากผักชีโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
-พริกไทย กระเทียม
-น้ำมันพืชพอประมาณ

วิธีทำไก่ทอด

1. ล้างไก่ให้สะอาด ตัดไก่แยกเป็นชิ้น ๆ (กรณีซื้อไก่มาเป็นตัว ให้นำอกไก่ตัดแยกเป็น 2 ชิ้น ตะโพก คอ ปีก น่อง)
2. นำมาคลุกกับพริกไทย กระเทียม รากผักชีที่โขลกจนละเอียด ตามด้วยน้ำตาล น้ำปลา แป้งสาลี
3. เคล้าทั้งหมดให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอท่วมไก่ เมื่อน้ำมันร้อนปานกลาง ให้นำไก่ลงทอด จนสุกเหลืองกรอบ จึงนำขึ้นพักบนตระแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำมัน

น้ำจิ้มไก่ทอด
ส่วนผสม
-น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
-เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
-พริกแดงโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำจิ้ม1. นำส่วนผสมคือ น้ำ น้ำส้ม น้ำตาลทราย ใส่หม้อ เคี่ยวให้ข้น
2. เมื่อได้ที่ ให้เติมเกลือ ใส่พริกแดงโขลกละเอียด ยกขึ้นจากเตา

เคล็ดลับเล็กๆน้อย 
•  ผู้ขายควรใช้ไก่สดทอดขาย และควรซื้อไก่วันต่อวัน
•  ผู้ขายควรขายข้าวเหนียวควบคู่ไปด้วย เพื่อเสริมรายได้




สูตรที่ 2 ไก่ทอดหาดใหญ่

ส่วนผสมไก่ทอดหาดใหญ่-อกไก่หรือสะโพกไก่ล้างให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ 10 ชิ้น 
-พริกไทย 2 ช้อนชา 
-ซีอิ้วขาว 1/ 4 ถ้วย 
-น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ 
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ 
-น้ำมันพืชสำหรับทอด 
-หอมเจียว  

วิธีทำไก่ทอดหาดใหญ่
1. เคล้าอกไก่ สะโพกไก่ กับพริกไทย ซีอิ้วขาว น้ำมันหอย น้ำตาลทราย ให้ทั่วกัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง 


2. นำไก่ที่หมักเสร็จเรียบร้อยแล้วลงทอดในน้ำมันร้อนจัด ไฟปากกลาง ให้สุกเหลือง หนังกรอบทั่วกัน ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน โรยด้วยหอมเจียว เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมน้ำจิ้มและข้าวเหนียว 

วิธีทำน้ำจิ้มไก่ 

1. โขลกรากผักชีหั่นหยาบ ๆ 2 ช้อนโต๊ะ กับพริกป่น 1/ 4 ถ้วย ให้เข้ากันดี 

2. จากนั้นผสมน้ำปลา 1/ 4 ถ้วย ซีอิ้วหวาน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1/ 4 ถ้วย และน้ำส้มสายชู 1/ 4 ถ้วย ลงในหม้อเคลือบ ยกขึ้นตั้งไฟพอน้ำตาลละลาย ยกลงพักไว้ให้อุ่น จึงใส่เครื่องที่โขลกไว้ในข้อ 1 คนให้เข้ากัน 

เคล็ดลับความอร่อย 

     เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ "ไก่ทอดหาดใหญ่" คือ เนื้อไก่ที่ทอดเสร็จแล้ว จะต้องแห้ง ไม่อมน้ำมัน หนังไก่จะต้องกรอบ และมีการเพิ่มความหอมของไก่ที่ทอดเสร็จแล้วด้วยการโรยหอมเจียวลงบนชิ้นไก่ รสชาติของไก่ที่ทอดเสร็จจะต้องออกรสเค็มนิดหน่อย นิยมนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มและข้าวเหนียวที่โรยหน้าด้วยหอมเจียวเช่นเดียวกัน 

เทคนิคในการทอดไก่ให้เนื้อแห้งโดยไม่อมน้ำมัน 
   
     ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ ทอดด้วยไฟแรงในตอนแรก แล้วหลังจากนั้นจึงลดไฟลง ทอดด้วยไฟกลางจนสุกกรอบ แต่ถ้าเป็นการทอดไก่แบบร้าน "ตุ๋ย เทพา" ที่อยู่ในซอยวัชรพล ตรงข้ามเสถียรธรรมสถานละก็ ที่นั่นเขาจะใช้วิธีทอด 2 ครั้ง (ใช้กระทะ 2 ใบ) โดยเริ่มจากนำไก่ที่หมักไว้แล้วลงทอดกระทะแรก กะว่าพอสุก ก็จะตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นก็นำไก่ที่ทอดเสร็จในขั้นตอนแรกลงไปทอดในกระทะที่สองที่เร่งไฟให้น้ำมันร้อนจัดอีกที แต่การทอดไก่ในกระทะที่สองนี้ จะทอดเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น แล้วก็ตักขึ้น นำไปพักไว้บนตะแกรง












วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของผลไม้ชนิดต่างๆ


องุ่น / Grape

องุ่น
องุ่น เป็นอาหารบำรุงร่างกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหาร ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีหลายชนิด สารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์อีกหลายชนิดเช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีเหล็ก และแคลเซี่ยม นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วย กรดเอลลาจิก ซึ่งเป็นสาร ฟลาโวนอยด์  ที่มีพลังในการต่อสู้กับมะเร็ง 
การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้


สตรอเบอร์รี่ / Strawberry

สตรอเบอร์รี่ หลายๆ ท่านคงเข้าใจว่าสตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ 
แต่ที่จริงแล้วสตรอเบอร์รี่นั้นอยู่ในพืชสกุลเดียวกับดอกไม้และอยู่ในวงศ์เดียวกับดอกกุหลาบ 
สตรอเบอร์รี่
  • สตรอเบอรี่มีส่วนช่วยในการทำงานของสมอง มีวิตามิน
  • ซีและไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) ซึ่งทำให้อนุมูลอิสระลดน้อยลง  มีไอโอดินที่ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพอีกด้วย 
  • บำรุงสายตา เพราะสตรอเบอร์รี่มีวิตามิน ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) กรดฟีโนลิกส์ ที่ช่วยในการลดและชะลอการเกิดอนุมูลอิสระได้ แถมยังช่วยให้ปรับความดันในตาให้กลับมาเป็นปกติ
  • ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ
  • ลดความดันโลหิต เพราะสตรอเบอร์รี่นั้นมี โพแทสเซียม (Potassium) และแมกนีเซียม (Magnesium) ที่ช่วยปรับความดันโลหิตให้กลับสู่สภาวะปกติ


เชอร์รี่ / Cherry

เชอร์รี่
เชอร์รี่ 
อุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 30-80 เท่า นอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอความแก่ และช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผลจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ทำให้คนกินมีความสุข ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียกเชอร์รี่ว่า เป็นแอสไพรินธรรมชาติ

  • anthocyanins ซึ่งช่วยในการลดการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
  • เชอร์รี่เป็นผลไม้ชนิดหนี่งซี่งมีแหล่งอาหารที่มีเมลาโทนิ, สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและช่วยในการนอนหลับ
  • เชอรรี่จะเรียกว่า "อาหารสมอง" ช่วยในสุขภาพสมองและในการป้องกันการสูญเสียความจำ
  • เชอรรี่มีประสิทธิภาพอย่างสูงในการต้านการอักเสบ ลดอาการอักเสบและปวดที่ข้อต่างๆ 


แอ๊ปเปิ้ล / Apple
    แอ๊ปเปิ้ลแอ๊ปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด  ถึงแม้แอ๊ปเปิ้ลจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้นและแอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก
  • แอปเปิ้ลแดง มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย
  • แอปเปิ้ลสีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีทำให้ผนังหลอด เลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
  • แอปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวานช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกินแอ๊ปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้วยังมีอิลาสตินและ คอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
  • แอปเปิ้ลสีเหลือง มีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก



พีชพีช / Peach 
ลูกพีช คุณประโยชน์มากมาย มีทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา มีวิตามินซีป้องกันโรคหวัด และโรคเลือดออกตามไรฟัน ให้แร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ทั้งยังแก้โรคหอบหืด หล่อลื่นลำไส้ แก้ไอ รักษาอาการปวดของโรคไส้เลื่อน ลดอาการเหงื่อออกมาก ช่วยลดความดันโลหิต
มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ "เบต้าคริบโตแซนทิน" ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย ช่วยบำรุงหัวใจและกระเพาะอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ ในผลลูกพีชยังมีเกลือแร่โบรอน ซึ่งทำให้สมองกระฉับกระเฉงและกระปรี้กระเปร่า ถ้าได้รับเกลือแร่โบรอนในปริมาณต่ำ จะทำให้สมองทำงานช้าลงและสมาธิสั้น 

ส้ม / Orange
ส้ม
  • ส้ม มีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาโวนอยส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใส
  • น้ำส้มสามารถให้แคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้ดีพอๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ น้ำส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าว
  • ส้ม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และยังพบว่าการบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง
  • ส้มมีสารโฟเลต ซึ่งจะช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ครอบครัวนี้ก็สามารถทำให้เราเบิกบานได้
กีวี่ / Kiwi Fruit
กีวี่กีวี่ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ซี อี เค บี1 บี2 บี3 บี6 บี9 แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส สังกะสี โอเมกา-3
  • มีสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นเปลือกของมันมีสารประกอบ flavanoid ในปริมาณที่สูงซึ่งทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนต์ซึ่งปกป้องเซลล์ของเรา
  • กากอาหารปริมาณสูง ช่วยกระตุ้นลำไส้เล็กของเรา ทำให้อาหารผ่านไปได้เร็วยิ่งขึ้น เส้นใยอาหารจากเปลือกกีวีนี้จะช่วยจับของเสียที่เป็นพิษลำไส้ของเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

สาลี่ / Pear


สาลี่
  • สาลี่ มีฤทธิ์เย็น รสหวานหอม จึงใช้รักษาผู้ที่มีอาการร้อนใน
  • สาลี่มีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ จึงช่วยให้สดชื่น ชุ่มคอ แก้กระหาย 
  • สาลี่ มีธาตุอาหารมากมาย เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเค แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และเส้นใยที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน กระตุ้นภูมิคุ้มกันแก้อาการท้องผูก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุ ของโรคมะเร็งและความชรา
  • ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดี ช่วยย่อย ขับปัสสาวะ กระตุ้นการทำงานของไตและลดความดันโลหิต


พลับ / Persimmon
  • ลูกพลับช่วยลดอาการปวดท้องที่เกิดจากความเย็น เช่น ปวดประจำเดือน ปวดโรคบิด ทั้งยังแก้ไอหรือเจ็บคอได้
  • ลูกพลับสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ และไม่เพียงลูกพลับสดเท่านั้นที่มีประโยชน์ ลูกพลับแห้งก็เช่นกันเพราะสามารถช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และผู้ที่ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ ลูกพลับแห้งก็ช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี

พลับ









เมล่อน / Melon
  • เมล่อนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ในปริมาณสูง มีวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ไม่มีไขมันและคอเลสเตอรอล อีกทั้งแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก 
  • นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเอนไซม์ในน้ำเมล่อนชื่อว่า "superoxide dismutase" มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย ส่งผลให้สามารถลดระดับความเครียดได้

เมล่อน






เคล็ดลับการเลือกและเก็บผัก ผลไม้



เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


                

        ยังคงเป็นปัญหาโลกแตกมาจนถึงทุกวันนี้ในการทำอาหาร กับการเลือกซื้อผักผลไม้แบบไหนให้ได้มาซึ่งของที่ดีที่สุดเพื่อนำมาทำอาหารให้อร่อย ลุกลามไปจนถึงวิธีเก็บรักษาของเหล่านั้นด้วยวิธีไหนดีที่แจ่มที่สุด ยืดอายุการใช้งานให้ได้นานที่สุด ก็มีหลากหลายเทคนิคเคล็ดลับถูกนำมาเสนอไขข้อข้องใจกันมากมาย ทั้งภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ตามแต่ใครจะสะดวกนำวิธีไหนไปใช้ เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ขอนำเสนอ วิธีเลือกซื้อผัก และผลไม้อย่างไรให้ได้มาซึ่งของดีที่สุด สามารถนำไปทำอาหารได้อย่างมั่นใจจาก นิตยสารแม่บ้าน ที่ได้แบ่งปันเคล็ดลับดี ๆ เหล่านั้นให้เราได้ลองนำไปใช้กันดูจ้า 



เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


แครรอท

      แครอทคุณภาพดีจะมีขนาดประมาณ 7-9 นิ้ว มีสีส้มสดสม่ำเสมอ เป็นแท่งตรง ผิวเรียบ ไม่มีแขนตะปุ่มตะป่ำงอกออกมา เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมแกนกลางของแคร์รอตมีสีอ่อนกว่าเนื้อโดยรอบ เพราะส่วนนั้นเป็นท่อส่งน้ำและอาหารจากรากนั่นเองค่ะ แครอทที่มีแกนกลางเล็กก็ยิ่งหวานมาก ซึ่งสามารถสังเกตจากภายนอกได้ แครอทที่ผอมกว่าก็จะมีแกนกลางเล็กกว่า หากแแครอทที่ซื้อมามีจุกสีเขียวติดมาด้วย ให้ตัดทิ้งทันทีนะคะ เพื่อป้องกันการคายน้ำจนเนื้อข้างในแห้งเหี่ยวเร็ว จากนั้นให้นำไปแช่ตู้เย็น จะช่วยรักษาความสดกรอบของเนื้อได้ค่ะ และควรนำมาปรุงแบบผัดกับน้ำมัน เพราะน้ำมันจะช่วยให้เบต้าแครโรทีนจากแครอทซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี





เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


แตงกวา

        ควรเลือกซื้อแตงกวาที่มีผิวเรียบ ถ้าผิวเหี่ยว มีริ้วรอย อาจเป็นแตงที่เก็บไว้นานแล้ว ไม่สดใหม่ และต้องเลือกลูกที่กลมกลึงสม่ำเสมอกัน ถ้าบุ๋มหรือคอด แสดงว่าเป็นโรคพืช หรือขาดน้ำ เนื้อข้างในจะแห้ง แต่ถ้าป่องตรงกลางเม็ดข้างในจะแก่ จืดชืด และมีน้ำแฉะ อีกทั้งยังปอกยาก จนต้องตัดส่วนที่ป่องหรือคดโค้งทิ้ง ทำให้สูญเสียเนื้อแตงกวาไป นอกจากนี้ยังสังเกตได้จากเสียง ถ้าใช้นิ้วดีดแล้วมีเสียงทึบ ๆ แสดงว่าเนื้อแน่น รับประทานอร่อยค่ะ         แม้ว่าแตงกวาจะเป็นพืชผักที่มีเนื้อเย็น แต่ไม่ควรเก็บแตงกวาไว้ใกล้กับช่องแช่แข็งนะคะ จะทำให้เนื้อข้างในหดตัวและเละ





เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด



มะเขือยาว

        เคล็ดลับการเลือกมะเขือยาวนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่เลือกมะเขือยาวลูกที่มีขั้วติดแน่น ผิวตึง เป็นมันวาว หากผิวด้านกระด้างจะไม่ค่อยสด แก่เกินไป มีเนื้อเละแลขม ควรเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ไม่ควรเย็นจัดนะคะ หากกลัวเป็นรอยดำหลังจากหั่น ก็ให้ใช้มีดสเตนเลสในการหั่นค่ะ มะเขือยาวนั้นสามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนู แต่เมนูยอดนิยมคงหนีไม่พ้นมะเขือยาวชุบไข่ทอด ซึ่งค่อนข้างจะอมน้ำมันมาก แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะสามารถแก้ไขได้โดยการแช่มะเขือยาวที่ผ่านเรียบร้อยแล้วลงในน้ำเกลือประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ก่อนจะนำไปชุบไข่ทอด





เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด



หน่อไม่ฝรั่ง

         หน่อไม้ฝรั่งที่กรอบอร่อยนั้น จะมีสีเขียวเข้มตลอดก้าน อาจเหลือบม่วงที่ส่วนปลายนิดหน่อย ต้องเลือกก้านที่เหยียดตรง หากก้านบิดงอจะเหนียวค่ะ และควรซื้อมากกว่าจำนวนที่จะรับประทานเล็กน้อย เพราะก่อนนำมาปรุงอาหารต้องตัดส่วนโคนที่แข็งเกินไปออก ทำให้ปริมาณลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเขียวค่ะ ควรใช้ทำอาหารให้หมดในครั้งเดียว เพราะหน่อไม้ฝรั่งสูญเสียความสดกรอบได้ง่ายมาก ต้องแช่ตู้เย็นไว้ หรือแช่ส่วนโคนไว้ในน้ำเย็นจัดจะช่วยคงความสดไว้ได้เล็กน้อย และไม่ว่าจะนำหน่อไม้ฝรั่งไปปรุงด้วยวิธีใด ผัด อบ ต้ม นึ่ง ไม่ควรปรุงให้สุกจัด หรือผ่านความร้อนนานนะคะ เพราะวิตามินซีจะสลายไปกับความร้อนหมด และอาจทำให้มีรสขม



เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด




ผักตระกูลกระหล่ำ

         ผักตระกูลกะหล่ำจะงาม และมีรสชาติดีเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว จึงไม่ต้องใช้สารเคมีเร่งโต หรือยาฆ่าแมลงมากค่ะ กะหล่ำดอกและบรอกโคลี ควรเลือกดอกที่เป็นช่ออัดแน่น ไม่มีจุดเชื้อรา ก้านดอกอวบ มีใบติดมากับก้าน และใบนั้นยังเขียวสดดี
            ส่วนกะหล่ำปลี ควรเลือกหัวที่มีน้ำหนักมากหน่อยค่ะ ใบยังคงสด ไม่ลืบ ไม่เหี่ยวเฉา และที่สำคัญไม่ควรซื้อกะหล่ำปลีที่แบ่งขายแบบผ่าครึ่งหัว เพราะเมื่อใบถูกตัดขาด พื้นที่สัมผัสกับอากาศจะมากขึ้น ทำให้วิตามินซีค่อย ๆ สลายไป
              หากซื้อมาแล้วใช้ไม่หมดในครั้งเดียว ให้รีบห่อส่วนที่เหลือด้วยพลาสติกถนอมอาหาร พยายามไล่อากาศออกให้มากที่สุด แล้วนำไปแช่ตู้เย็น เพื่อรักษาวิตามินต่าง ๆ ไว้ มีเคล็ดลับอีกอย่างสำหรับกะหล่ำปลีก็คือ การใช้น้ำมะนาวทาบริเวณที่ถูกตัดแล้ว จะช่วยป้องกันการเกิดรอยดำได้ค่ะ




เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


เห็ด

      เห็ดแยกย่อยออกเป็นหลายชนิด แต่ก็มีลักษณะบางอย่างร่วมกัน หลัก ๆ แล้ว ควรเลือกเห็ดที่มีดอกสมบูรณ์ ไม่มีรูเว้าแหว่ง ไม่มีรอยช้ำ ไม่เป็นเมือกมีสีสันตรงตามชนิดของเห็ดนั้น ๆ หากสีคล้ำกว่าปกติจะเป็นเห็ดแก่ค่ะ ไม่ควรเก็บเห็ดใส่ตู้เย็นโดยไม่มีอะไรห่อหุ้มน เพราะจะทำให้เห็ดเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญอย่าเพิ่งหั่นเห็ดเป็นชิ้น จนกว่าจะนำมาปรุงอาหาร ควรเก็บเห็ดไว้ในรูปเดิม โดยพรมน้ำให้เห็ดพอขึ้น แล้วเก็บใส่ถุงกระดาษ แช่ไว้ในตู้เย็น




เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


แอ็ปเปิ้ล

         เปลือกของแอปเปิลสามารถรักษาความชื้นไว้ในเนื้อได้ดี จึงดูเหมือนเก็บไว้ได้นาน แต่จริง ๆ แล้ววิตามินและเกลือแร่ของแอปเปิลค่อย ๆ สลายไปตั้งแต่ปลิดขั้วออกจากต้นแล้วล่ะค่ะ จึงควรเลือกซื้อแอปเปิลที่แช่ตู้เย็นไว้ อย่างน้อยความสดและวิตามินต่าง ๆ ก็จะยังคงอยู่มากกว่าแอปเปิลที่ไม่ได้แช่ตู้เย็น และเราก็ควรเก็บแอปเปิลไว้ในตู้เย็นเช่นกัน โดยเก็บไว้ในถุงพลาสติกก่อนค่ะ ก่อนรับประทานต้องล้างให้สะอาดอย่างยิ่ง ควรใช้นิ้วมือถูไปด้วยค่ะ เพราะแอปเปิ้ลส่วนใหญ่มักเคลือบแว็กซ์ไว้ให้ดูสวยงามสดใหม่ น่ารับประทาน




เคล็ดลับเลือกและเก็บผัก ผลไม้ วิธีไหนแจ่มสุด


กล้วย

         กล้วยแต่ละชนิดมีจุดเด่นแตกต่างกัน เลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ กล้วยไข่ให้พลังงานและมีเบต้าแคโรทีนมาก กล้วยน้ำว้า มีไฟเบอร์มาก ส่วนกล้วยหอมมีวิตามินซีมาก ควรเลือกซื้อกล้วยที่ยังไม่สุก แล้วค่อยนำมาบ่มให้สุกเอง โดยวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรือเก็บไว้ในถุงกระดาษร่วมกับแอปเปิ้ลที่สุกจัดก็จะยิ่งทำให้กล้วยสุกเร็วขึ้นค่ะ หากกล้วยสุกงอมจนรับประทานไม่ทัน ให้นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น ความเย็นจะช่วยยับยั้งการสุก และรักษาเนื้อกล้วยให้คงที่ แม้เปลือกภายนอกจะดำคล้ำแล้วก็ตาม
             

        

         และทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกซื้อ และจัดเก็บผักผลไม้ให้ได้ซึ่งมาประโยชน์ในหารปรุงอาหารที่ของคุณให้อร่อยสุด ๆ ก็อย่าลืมนำไปใช้กันดูนะคะ








สูตรขนมหวานไทย เม็ดขนุน


เครื่องปรุง + ส่วนผสม

ขนมหวานไทย :  ขนมเม็ดขนุน

                                     


  

  • ถั่วเขียวเลาะเปลือก 450 กรัม
  • น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)
  • น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
  • น้ำกะทิ 400 กรัม
  • น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
  • ไข่เป็ด 5 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)




ขนมหวานไทย : ขนมเม็ดขนุน

  

  ขนมหวานไทย :  ขนมเม็ดขนุน

    



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

     1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)
     2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
     3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)
     4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน
     5. ทำน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำตาลและน้ำเปล่า นำไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ
     6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก จากนั้นจึงนำเม็ดขนุนที่ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนำไปใส่ในน้ำเชื่อม พยายามอย่าให้ติดกัน พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนำกระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนสุกทั่งจึงตักออกมาพัก ทำซ้ำเช่นนี้จนเม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด
     7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสริฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ



                  











                   






  

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการปรุงอาหาร



การปรุงอาหารด้วยวิธีการผัด ( STIR-FRYING )
        
         วิธีนี้เป็นวิธีปรุงอาหารที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ถ้าคุณไม่มีกระทะหลุมแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป กระทะแบนสำหรับทอดก็สามารถใช้แทนกันได้ ก่อนการผัดทุกครั้งจะต้องตั้งไฟจนกระทะร้อนได้ที่ก่อนจะใส่วัตถุดิบ (เนื้อสัตว์ หรือ ผัก) ลงไปในกระทะ ในการผัดนั้น นิยมใช้ตะหลิว (ทั้งที่ทำจากโลหะ หรือไม้) เพื่อกลับอาหารในกระทะอย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารสุก รีบปรุงรสและนำออกจากกระทะและเสิรฟขณะที่อาหารยังร้อนๆ เนื่องจากขั้นตอนการผัดนั้นมักจะใช้เวลาสั้น วัตถุดิบต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาหารประเภทนั้นจะต้องถูกเตรียมให้พร้อมก่อนเริ่มการผัด ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อทำการผัดอาหารแล้วจะได้อาหารที่สุกพอดี ไม่ไหม้จากการที่ต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบอื่นๆขณะที่ผัดอาหาร เคล็ดลับที่สำคัญในการผัดอาหารทะเลนั้น เวลาผัดจะต้องใช้ไฟสูง และผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวด้านนอกของอาหารทะเลสุก ขณะที่ภายในยังนุ่ม (ปรุงงเกือบสุก - จะได้รสชาติดีที่สุด) อาหารทะเลที่ปรุงสุกเกินไปจะรสชาติไม่อร่อย ผิวแข็ง และกระด้าง



เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีผัด

อาหารไทย : ผัดผักรวมมิตร
วิธีการผัด





การปรุงอาหารด้วยวิธีการตุ๋น ( STEWING ) 
          
          การตุ๋นจะช่วยรักษาคุณประโยชน์ของสารอาหารไว้ได้เกือบครบถ้วน โดยสารอาหารที่สำคัญจากเนื้อสัตว์ ผักและสมุนไพรต่างๆ จะยังคงอยู่ในน้ำที่ตุ๋นอาหาร เนื้อสัตว์ที่หยาบกระด้างเมื่อผ่านการตุ๋นแล้วจะทำให้เนื้อนุ่มน่ารับประทาน ในการตุ๋นอาหารโดยทั่วไป เนื้อสัตว์มักจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดใกล้เคียงกัน และเติมน้ำลงไปพอท่วมเนื้อ และใส่ในหม้อต้มปิดด้วยฝาที่สนิท ตั้งไฟอ่อนๆ เพื่อค่อยๆตุ๋นให้วัตถุดิบภายในสุกอย่างช้าๆ น้ำที่ได้จากการตุ๋นสามารถใช้เสิรฟกับอาหารในลักษณะน้ำราดได้อีกด้วย



เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีตุ๋น
ออาหารไทย : เนื้อตุ๋น
วิธีการตุ๋น



    การปรุงอาหารด้วยวิธีการนึ่ง ( STEAMING ) 

           ในการปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่งนั้น อาหารจะถูกปรุงให้สุกโดยใช้ไอน้ำที่เกิดจากการต้มน้ำภายใต้อาหารนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นอาหารจะไม่มีการสัมผัสโดยตรงกับน้ำที่ต้ม ซึ่งจะส่งผลให้คุณค่าของสารอาหารยังคงอยู่กับอาหารอย่างครบถ้วน และที่สำคัญในการนึ่งนั้นแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันลงไปในการนึ่งเลย ทำให้การนึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เคล็ดลับที่สำคัญสำหรับการนึ่งอาหารให้รสชาติดีนั้น วัตถุดิบที่ใช้จะต้องสดมากๆ การนึ่งอาหารโดยทั่วไปจะต้องมีจานที่สามารถทนความร้อน (ทำจากเซรามิก, แก้ว, กระเบื้องก็ได้ ไม่แนะนำให้ใช้จานที่ทำจากพลาสติกหรือเมลามีน) และต้องมีซึ้ง (Steamer) โดยใส่น้ำต้มให้เดือดและนำอาหารที่ต้องการนึ่งวางบนจานทนความร้อนและใส่เข้าไปในซึ้ง และปิดฝาให้สนิท




เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง


อาหารไทย : ปลานิ่ง
วิธีการนึ่ง



 การปรุงอาหารด้วยวิธีการทอด ( DEEP FRYING ) 



          วิธีการทอดนั้นจะทำให้อาหารสุกโดยการใส่เนื้อสัตว์หรือผักลงไปในน้ำมันที่ตั้งจนร้อน ปริมาณน้ำมันที่ใส่จะต้องมากพอที่จะท่วมอาหารที่จะนำไปทอด การทอดนั้นนิยมทอดในกระทะแบบหลุมหรือกระทะชนิดแบนก็ได้ อุณหภูมิของน้ำมันที่ใช้ในการทอดเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการปรุงอาหาร ถ้าน้ำมันไม่ร้อน เมื่อใส่อาหารลงไปทอด จะส่งผลให้อาหารอมน้ำมันและไม่น่ารับประทาน ขณะเดียวกันถ้าอุณหภูมิน้ำมันสูงเกินไป อาหารที่นำไปทอดก็จะไหม้ อุณหภูมิน้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดอยู่ที่ 180 องศาเซลเซียส (หรือประมาณ 350 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อทอดเสร็จแล้วควรสะเด็ดน้ำมันออกจากอาหารที่ทอด ตะแกรงลวดโลหะเป็นที่นิยมใช้ในการสะเด็ดน้ำมัน นอกจากนั้นกระดาษซับน้ำมันก็สามารถใช้ดูดซับน้ำมันออกจากอาหารที่ทอดได้ อาหารที่ผ่านการสะเด็ดน้ำมันเป็นอย่างดีจะช่วยคงความกรอบให้ยาวนานขึ้นอีกด้วย




เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีทอด

อาหารไทย : ทอดมันกุ้ง
วิธีการทอด
  



การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่าง ( GRILLING ) 

         การปรุงอาหารด้วยวิธีการย่างนั้น จะนำอาหารที่ต้องการปรุงให้สุก วางไว้บนไฟหรือความร้อน ซึ่งอาจเป็นเตาถ่าน, เตาไฟฟ้า บางครั้งอาจใช้เตาอบ หรือตั้งกระทะไว้บนไฟในการย่างอาหารก็ได้ ในการย่างอาหารไทยนั้น อาหารอาจถูกย่างโดยตรงกับไฟ หรืออาจห่อด้วย ใบไม้หรือฟลอยส์อลูมิเนียม สำหรับใบไม้ที่นิยมใช้นั้นก็มีใบตอง และใบเตย ซึ่งอาหารที่ห่อและนำไปย่างจะมีกลิ่นหอม ชวนน่ารับประทาน การย่างที่ถูกต้องนั้น จะต้องมีการกระจายความร้อนให้ทั่วอาหารเพื่อไม่ให้อาหารไหม้ ดังนั้นการกลับหน้าอาหารจึงมีความจำเป็น เคล็ดลับการย่างเนื้อสัตว์ให้อร่อยต้องย่างให้ผิวภายนอกให้สุก และพยายามให้เนื้อภายในเกือบสุก ด้วยวิธีนี้จะได้เนื้อที่นุ่ม ไม่หยาบกระด้าง และน่าทานเป็นอย่างมาก



เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธีย่าง

อาหารไทย : หมูย่าง
วิธีการย่าง





การปรุงอาหารด้วยวิธีการยำ ( SALADS )
       
       อาหารที่ปรุงด้วยวิธีการยำนั้น จำเป็นต้องเน้นรสชาติที่จัด และ เน้นเครื่องปรุง วัตถุดิบที่สดมากๆ รสชาติอาหารยำจะเป็นการผสมผสานกันของรสเปรี้ยว, รสเค็ม และรสเผ็ดร้อนของพริก ขณะที่การเพิ่มรสหวานนิดหน่อยจะช่วยทำให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น สำหรับรสชาติของอาหารยำนั้นสามารถปรับได้ตามประเภทของอาหาร ในขั้นตอนการยำ วัตถุดิบต่างๆจะถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปลวกน้ำร้อนอย่างรวดเร็ว ในการคลุกวัตถุดิบและเครื่องปรุงเข้าด้วยกัน ต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาหารจะเละ ไม่น่ารับประทาน เมื่อยำอาหารเสร็จแล้ว ต้องรีบเสิรฟทันที อาหารที่ยำเสร็จแล้วปล่อยทิ้งๆไว้นานๆรสชาติของอาหารจะไม่อร่อย เนื่องจากวัตถุดิบที่อยู่ในอาหารจะดูดน้ำยำไปจนหมด ทำให้เสียรสชาติเดิมที่ยำเสร็จใหม่ๆ




เทคนิคการปรุงอาหารด้วยวิธียำ

อาหารไทย : ยำรวมมิตรทะเล
วิธีการยำ